Thursday, February 11, 2016

วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี คุณค่าด้านวรรณศิลป์

         เนื่องจากเรื่องที่นำมาเรียนนี้เป็นเรื่องเล่าในลักษณะความเรียงจึงเป็นร้อยแก้ว  บรรยายโวหาร  ในส่วนที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างจากเนื้อเรื่องจริง  ได้ยกจากตอนพระอจุตฤาษีบอกเส้นทางไปเขาวงกตแก่ชูชก  ซึ่งได้พรรณนาโดยใช้คำอนังการ  และสัมผัสแพรวพราว  เช่น
          "แลถนัดในเบิ้องหน้าโน้น  ก็เขาใหญ่  ยอดเยี่ยมโพยมอย่างพยับเมฆ  มีพรรณเขียวขาวดำแดงดูดิเรก  ดั่งรายรัตนนพมหณีแนมน่าใคร่ชม  ครั้นแสงพระสุริยะส่งระดมก็ดูเด่นดั่งดวงดาว  วาวแวววะวาบ ๆ ที่เวิ้งวุ้ง  วิจิตรจำรูญรุ่งเป็นสีรุ้งพุ่งพ้นเพิ่งคัคนัมพรพื้นนภากาศ  บ้างก็ก่อเกิดก้อนประหลาดศิลาลายและละเลื่อม ๆ ที่งอกง้ำเป็นแง่เงื้อม..."
                                                                                                                                                                         (กัณฑ์ที่ 7 มหาพน)
          สำนวนที่มาจากเรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่ใช้ในปัจจุบัน  เช่น
          ชักแม่น้ำทั้งห้า  หมายถึง  พูดจาหว่านล้อมด้วยคำยกยอ  ดังที่ชูชกจะกล่าวขอสองกุมารต่อพระเวสสันดรก็ได้พูดจาชักแม่น้ำทั้งห้า (คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหิ)  มาเปรียบเทียบเสียก่อนแล้วจึงย้อนขอในภายหลัง
          ตีปลาหน้าไซ  หมายถึง  ตีหรือกระทุ่มน้ำตรงหน้าไซให้ปลาแตกตื่นหนีไปจากไซที่ดักไว้  เป็นการทำทำที่ขัดขวางผลประโยชน์ที่ควรมีควรได้อยู่แล้ว  เสมือนตอนที่ชูชกตีสองกุมารต่อหน้า  ทำให้พระเวสสันดรโกรธเคือง
          คุณค่าด้านแนวคิดและคติชีวิต
          1.  การทำบุญจะให้ทำเสร็จสมประสงค์ต้องอธิษฐานจิต  ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ตนปรารถนาไว้  ความปรารถนาที่จะสำเร็จสมดังตั้งใจผู้นั้นต้องมีศีลบริบูรณ์กล่าวคือ
                     -  ต้องกระทำความดี
                     -  ต้องรักษาความดีนั้นไว้
                     -  หมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากยิ่งขึ้น
          2.  การทำความดีต้องทำเรื่อยไป  ทุกชาติทุกภพต่อเนื่องไม่ขาดสาย
          3.  ในเรื่องมหาชาติได้แสดงตัวอย่างของพระชาติที่ยิ่งใหญ่ด้วยทศบารมี  เห็นตัวอย่างการบำเพ็ญบารมีอันยากยิ่งที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาจะทำได้
          4.  คุณค่าของมหาชาติเป็นเรื่องที่ประจักษ์ชัดในศรัทธาของพุทธศาสนิกชนมายาวนานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย  ดังที่ปรากฏในจารึกนครชุม  ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นวรรณคดีลายลักษณ์อักษณ์ที่เก่าแก่ที่สุด
          5.  แสดงให้เห็นถึงความเชื่อ  ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่อยู่คู่กับสังคมไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
          6.  สะท้อนให้เห็นถึงประเพณีทางศาสนาที่สำคัญเกี่ยวกับการทำบุญ  ฟังเทศน์มหาชาติให้จบวันเดียวครบบริบูรณ์ ทั้ง 13 กัณฑ์  เป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการดังนี้
                     -  เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว  จะมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่า  ศรีริยเมตไตยในอนาคต
                     -  เมื่อดับขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์  จะเสวยทิพยสมบัติมโหฬาร
                     -  เมื่อตายไปแล้วจะไม่ตกนรก
                     -  เมื่อถึงยุคพระศรีอริยเมตไตย  จะได้จุติไปเกิดเป็นมนุษย์
                     -  เมื่อได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์  จะได้ดวงตาเห็นธรรม  เป็นพระอริยบุคคลในบวรพระพุทธศาสนา
          7.  มหาชาติใสนแต่ละท้องถิ่นมักจะแสดงให้เห็นถึงลักษณะวิถีชีวิต  ความเป็นอยู่  ความเชื่อได้อย่างชัดเจน
          มหาชาติ  หรือเวสสันดรชาดกมีคุณค่าทั้งด้านเนื้อความและด้านวรรณศิลป์เพราะแต่ละสำนวนเกิดขึ้นจากความเชื่อและความศรัทธาในพุทธศาสนา  ทั้งยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรม  สำคัญของคนในท้องถิ่นที่ควรอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป

คำศัพท์

กรุงกบิลพัสดุ์  =  ชื่อเมืองหลวงของแคล้นสักกะ  เป็นเมืองของพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ  ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล  ติดชายแดนตอนเหนือของประเทศอินเดีย
คาถาพัน  =  บทประพันธ์เรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่แต่งเป็นภาษาบาลีล้วน ๆ พันบท  เรียกการเทศน์มหาเวสสันดรชาดกที่เป็นคาถาล้วน ๆ อย่างนี้ว่า  เทศน์คาถาพัน
จุติ  =  เคลื่อน  เปลี่ยนสภาพจากกำเนิดหนึ่งไปเป็นอีกกำเนิดหนึ่ง  มักใช้แก่เทวดา
ดาวดึงส์สวรรค์  =  ชื่อสวรรค์ชั้นที่ 2 แห่งสวรรค์ 6 ชั้น  มีพระอินทร์เป็นผู้ครอง
ทศบารมี  =  บารมี 10 ประการ  ได้แก่  ทาน  ศีล  เนกขัมมะ  ปัญญา  วิริยะ  ขันติ  สัจจะ  อธิษฐาน  เมตตา  อุเบกขา
เนรเทศ  =  บังคับให้ออกไปเสียจากประเทศหรือถิ่นที่อยู่ของตน
บุตรทารทาน  =  การให้ทานโดยสละบุตรและภรรยา (ทาร)
ปิยบุตรทาน  =  ให้ลูกรักเป็นทาน
ฝนโบกขรพรรษ  =  ฝนที่มีสีแดง  ฝนชนิดนี้กล่าวไว้ว่าใครอยากจะให้เปียก  ก็เปียก  ถ้าไม่อยากให้เปียกก็ไม่เปียก  เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว
พิสดาร  =  กว้างขวาง  ละเอียดลออ  (ใช้แก่เนื้อความ)  แปลก  พิลึก (ปาก)
มหาชาติ  =  เรียกเวสสันดรชาดกว่า  มหาชาติ  การเทศน์เรื่องมหาเวสสันดรชาดกเรียกว่า  เทศน์มหาชาติ
ยมกปฏิหาริย์  =  ปาฏิหารย์ที่แสดงเป็นคู่ ๆ เป็นปาฏิหารย์ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ต้นมะม่วงซึ่งเรียกว่า  คัณฑามพฤกษ์  คือทรงบันดาลท่อน้ำท่อไฟจากส่วนของพระกายเป็นคู่ ๆ กัน
ลาผนวช  =  มีความหมายาเดียวกับลาสิขา  คือลาสึก  ลาจากเพศสมณะ
สัตตสดกมหาทาน  =  การทำทานครั้งใหญ่โดยให้สิ่งของ 7 อย่าง  อย่างละ 700 ได้แก่  ช้าง  ม้า  รถ  สตรี  แม่โคนม  ทาสชาย  ทาสหญิง
อนุโมทนา  =  ยินดีตาม  ยินดีด้วย  พลอยยินดี
อานิสงส์  =  ผลแห่งกุศลกรรม  ผลบุญ  ประโยชน์
อาศรม  =  ที่อยู่ของนักพรต

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่อง
          หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหารย์  ทำให้พระประยูรญาติละทิฐิยอมถวายบังคม  ก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษ  พระภิกษุทั้งหลายจึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า  ฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีต  พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเรื่องมหาเวสสันดรชาดก   หรือเรื่องมหาชาติ  ทั้ง 13 กัณฑ์  ตามลำดับ  ดังนี้          กัณฑ์ที่ 1 ทศพรา  พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี  ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร  แต่ปางก่อนนั้นผุสดีเทวีเสวยชาติเป็นอัครมเหสีของพระอินทร์  เมื่อจะสิ้นพระชนมายุจึงขอกัณฑ์ทศพรจากพระอินทร์ได้ 10 ประการ  ทั้งยังเคยโปรยผงจันทร์แดง  ถวายพระวิปัสสีพุทธเจ้าและอธิฐานให้ได้เกิดเป็นมารดาพระพุทธเจ้าด้วย พร 10 ประการนั้นมีดังนี้
1.  ขอให้เกิดในกรุงมัททราช  แคว้นสีพี
2.  ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย
3.  ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง
4.  ขอให้ได้นาม "ผุสดี" ดังภพเดิม
5.  ขอให้พระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป
6.  ขอให้พระครรภ์งาม  ไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ
7.  ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง
8.  ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ
9.  ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ
10. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
อ่านต่อ กัณฑ์ที่ 2 - กัณฑ์ที่ 13 

ลักษณะคำประพันธ์

ลักษณะคำประพันธ์
ความเรียงร้อยแก้ว  ร่ายยาว  กลบท  กลอนพื้นบ้าน
จุดมุ่งหมายในการแต่ง
เพื่อใช้ในการสวด  เทศนาสั่งสอน

ผู้แต่ง

ผู้แต่ง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กวีสำนักวัดถนน
กวีวัดสังขจาย
พระเทพโมลี (กลิ่น)
เจ้าพระยาพระคลัง (หน)บภายในวันเดียวจะได้รับอานิสงส์มาก

ความเป็นมา

ความเป็นมา
เวสสันดรชาดกนี้เป็นเรื่องใหญ่จัดรวมไว้ในมหานิบาตชาดกรวมเรื่องใหญ่ 10 เรื่อง
ที่เรียกกันว่า  ทศชาติ  แต่อีก 9 เรื่อง  ไม่เรียกว่ามหาชาติ  คงเรียกแต่เวสสันดรชาดก
เรื่องเดียวว่า  มหาชาติ  ข้อนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
โปรดประทานอธิบายว่า  พุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดจนประเทศใกล้เคียงนับถือกันมาแต่โบราณว่า
เรื่องมหาเวสสันดรชาดก  สำคัญกว่าชาดกอื่น ๆ ด้วยปรากฏบารมีของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์
ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกทั้ง 10 บารมี
อานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติ  การตั้งใจฟังเทศน์มหาชาติให้จบเพียงวันเดียวครบบริบูรณ์  ทั้ง 13 กัณฑ์จะเป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการดังนี้
          1.  เมื่อตายจากโลกนี้แล้ว  จะมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า  พระนามว่า  ศรีอริยเมตไตย  ในอนาคต
          2.  เมื่อดับขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์  จะเสวยทิพยสมบัติมโหฬาร
          3.  เมื่อตายไปแล้วจะไม่ตกนรก
          4.  เมื่อถึงยุคพระพุทธเจ้าพระนามว่า  ศรีอริยเมตไตย  จะได้จุติไปเกิดเป็นมนุษย์
          5.  ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์  จะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอริยบุคคล  ในบวรพุทธศาสนา

มูลเหตุการณ์เล่าเรื่องมหาชาติ

 คัมภีร์ธัมมบทขุททกนิกายกล่าวว่า  เรื่องเวสสันดรชาดกเป็นพุทธดำรัสที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ขีณาสพสองหมื่นรูป  และพระประยูรญาติที่นิโครธารามหาวิหารในนครกบิลพัสดุ์  ในคราวเสด็จโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา  และพระวงศ์ศากยะบรรดาพระประยูรญาติไม่ปรารถนาจะทำความเคารพพระองค์  ด้วยเห็นว่าอายุน้อยกว่า
          พระองค์ทรงทราบความคิดนี้จึงทรงแสดงยมกปกฏิหาริย์  โดยเสด็จขึ้นเบื้องนภาอากาศแล้วปล่อยให้ฝุ่นละอองธุลีพระบาทตกลงสู่เศียรของพระประยูรญาติทั้งหลาย  พระประยูรญาติจึงได้ละทิ้งทิฐิแล้วถวายบังคมพระพุทธเจ้า  ขณะนั้นได้เกิดฝนโบกขรพรรษ  พระภิกษุทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์จึงได้ทูลถาม  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีต  แล้วจึงทรงแสดงธรรมเรื่องมหาเวสสันดรชาดก  หรือเรื่องมหาชาติให้แก่พระภิกษุและพระประยูรญาติ
          มหาเวชสันดรชาดก  เป็นชาดกที่มีความสำคัญมากกว่าชาดกอื่น ๆ เพราะพระบารมีของพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบริบูรณ์ในพระชาตินี้  มหาเวสสันดรชาดกทั้ง 10 บารมี  คือ

ทานบารมี  = ทรงบริจาคทรัพย์สิน  ช้าง  ม้า  ราชรถ  พระกุมารทั้งสองและพระมเหสี
ศีลบารมี  = ทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัดระหว่างทรงผนวชอยู่ ณ เขาวงกต
เนกขัมมบารมี  = ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลาที่ประทับ ณ เขาวงกต
ปัญญาบารมี  = ทรงบำเพ็ญภาวนามัยปัญญาตลอดเวลาที่ทรงผนวช
วิริยาบารมี  = ทรงปฏิบัติมิได้ย่อหย่อน
สัจจบารมี  = ทรงลั่นพระวาจายกกุมารให้ชูชก  เมื่อพระกุมารหลบหนีก็ทรงติดตามให้
ขันติบารมี  = ทรงอดทนต่อความยากลำบากต่าง ๆ ขณะที่เดินทางมายังเขาวงกต  และตลอดเวลาที่ประทับ ณ ที่นั่น  แม้แต่ตอนที่ทอดพระเนตรเห็นชูชกเฆี่ยนตีพระกุมารอย่างทารุณพระองค์ก็ทรงข่มพระทัยไว้ได้
เมตตาบารมี  = เมื่อพราหมณ์เมืองกลิงคราษฎร์  มาทูลขอช้างปัจจัยนาค  เนื่องจากเมืองกลิงคราษฎร์ฝนแล้ง  ก็ทรงพระเมตตตาประทานให้  และเมื่อชูชกมาทูลขอสองกุมาร  อ้างว่าตนได้รับความลำบากต่าง ๆ พระองค์ก็มีเมตตาประทานให้ด้วย
อุเบกขาบารมี  = เมื่อทรงเห็นสองกุมารถูกชูชกเฆี่ยนตี  วิงวอนให้พระองค์ช่วยเหลือ  ทรงบำเพ็ญอุเบกขา  คือทรงวางเฉย  เพราะทรงเห็นว่าได้ประทานเป็นสิทธิ์ขาดแก่ชูชกไปแล้ว
อธิษฐานบารมี  = คือทรงตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อให้สำเร็จโพธิญาณาเบื้องหน้าก็มิได้ทรงย่อท้อ  จนพระอินทร์ต้องประทานความช่วยเหลือต่าง ๆ เพราะพระทัยอันแน่วแน่ของพระองค์